• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บ.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - fairya

#3136

นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้อานวยการ-การตลาดบัตรเครดิต บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) เปิดเผยว่า ภาพรวมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของ KTC ด้านสุขภาพและความงามในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ต.ค.) เติบโตดีมากกว่ากว่าที่บริษัทคาดไว้ โดยเฉพาะหมวดโรงพยาบาล และความงามที่เติบโตอย่างมากในระดับ 25% และ 75% ตามลำดับ จากการที่กลับมาเปิดให้บริการกันอย่างเต็มที่ของโรงพยาบาล และคลินิกเสริมความงามต่างๆ ที่สามารถกลับมาเปิดให้บริการอย่างเต็มที่ มีการทำการตลาด ออกคอร์สความงามต่างๆมานำเสนอแก่ลูกค้า ประกอบกับหลังจากโควิด-19 คลี่คลายลง ลูกค้าได้มีความมั่นใจในการกลับมาใช้บริการในโรงพยาบาล และคลินิกเสามความงาม ทำให้ลูกค้าหลายๆคนออกมาซื้อคอร์สความงามต่างๆมากขึ้น รวมถึงกลับเข้าไปรักษาโรคต่างๆในโรงพยาบาล

ขณะเดียวกันบริษัทยังมีการเตรียมความพร้อมร่วมก่บพันธมิตรในการมีโปรโมชั่นรองรับลูกค้าบัตรเครดิตของ KTC ทั้งส่วนลดต่างๆ โปรแกรมผ่อนชำระ เป็นต้น เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้านึกถึงและเลือกใช้บัตรเครดิตของ KTC ในการชำระค่าบริการในหมวดโรงพยาบาลและความงามเป็นลำดับต้นๆ ส่งผลให้ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของ KTC ในหมวดโรงพยาบาลแความงามขึ้นมาเป็นอันดับที่ 4 ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา หรือคิดเป็นยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท และคาดว่ายอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของ KTC ในหมวดโรงพยาบาลและควมมงามในปี 66 จะโตไม่ต่ำกว่า 20%

สำหรับการเดินหน้ากลยุทธ์การตลาดในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 65 ขออบัตรเครดิต KTC ในหมวดสุขภาพและความงาม บริษัทเน้นการทำกลยุทธ์การตลาดอย่างเข้าใจและเข้าถึงผู้บริโภค ท่ามกลางพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงและบริบทสังคมที่เปลี่ยนไปหลังโควิด-19 โดยบริษัทเตรียมรุกขยายจับมือพันธมิตรร้านค้าครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ รวมถึงกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมที่มีกำกาลังซื้อสูง ด้วยสิทธิพิเศษครบทุกรูปแบบ ทั้งส่วนลด เครดิตเงินคืน และการผ่อนชาระ

นอกจากนี้บริษัทยังมีมอบสิทธิประโยชน์ส่งท้ายปี เอาใจสมาชิกที่บริการตรวจสุขภาพประจำปีที่โรงพยาบาล ผ่านแคมเปญ "ลุ้นสวยฟรีทั้งบิล" และ แคมเปญ KTC - VISA FIFA World Cup Qatar 2022 เพื่อเป็นการตอกย้ำกระแสการจัดงานฟุต.โลกใยปลายปีนี้ และช่วยดึงดูดให้คนหันมาใส่ใจสุขภาพ และออกกำลังกายมากขึ้น
#3137
แอปสินเชื่อดิจิทัลฟินนิกซ์ (FINNIX) ลดความเหลื่อมล้ำให้คนไทยทุกคนขอสินเชื่อได้ ด้วยนวัตกรรมยืนยันตัวตนแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ใน 60 วินาที

มันนิกซ์ บริษัทฟินเทคสตาร์ทอัปร่วมทุนระหว่างประเทศของ SCB X และ Abakus Group ฟินเทคยูนิคอร์นจากประเทศจีน จับมือ ADVANCE.AI ผู้ให้บริการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากประเทศสิงคโปร์ นำนวัตกรรมพิสูจน์ตัวตนของผู้ใช้แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ภายใน 60 วินาที หวังช่วยลดความเหลื่อมล้ำการเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินและยกระดับประสบการณ์การใช้สินเชื่อดิจิทัลผ่านแอปฟินนิกซ์

นางสาวอาชี โจว ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ บริษัท มันนิกซ์ จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยมีคนจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงผลิตภัณฑ์การเงิน แต่มีความเข้าใจโลกดิจิทัล กลุ่มคนเหล่านี้มีศักยภาพสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของมันนิกซ์ ดังนั้น บริษัทจึงต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินที่ใช่และถูกต้องสำหรับผู้บริโภค ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้นและสะดวกด้วยแอปฟินนิกซ์ (FINNIX) เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน แต่ยังคงรักษาความรวดเร็วและง่ายต่อการใช้งาน มันนิกซ์ได้ร่วมมือกับ ADVANCE.AI ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากประเทศสิงคโปร์ เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานการระบุและพิสูจน์ตัวตนของผู้ใช้แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) หรือ Electronic Know Your Customer ที่ทำให้ผู้ขอสินเชื่อยืนยันตัวตนเสร็จได้ภายใน 60 วินาที ด้วยการถ่ายรูปตนเองและบัตรประจำตัวประชาชนด้วยกล้องของสมาร์ทโฟน

"เราอยากให้ลูกค้ามั่นใจว่าข้อมูลที่ให้เรามานั้นปลอดภัย ความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์และบริษัทเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มลูกค้าที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ ดังนั้น เทคโนโลยีการบริการยืนยันตัวตนแบบอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยให้เราให้บริการกลุ่มผู้ที่เข้าไม่ถึงการเงินได้ โดยเป็นไปตามข้อกำหนดด้านการใช้เทคโนโลยีชีวมิติ (Biometric Technology) ได้เป็นอย่างดี" นางสาวอาชีกล่าว

"ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญมากในอุตสาหกรรมฟินเทค สำหรับเราในบทบาทขององค์กร การยืนยันและพิสูจน์ตัวตนเป็นสิ่งสำคัญ จึงต้องมั่นใจได้ว่าเรามีเทคโนโลยีที่เหมาะสมจริงๆ และทำให้ลูกค้าไว้วางใจที่จะให้ข้อมูลส่วนตัวกับเราด้วย" นางสาวชลินี บุญส่งทรัพย์ Product Owner บริษัท มันนิกซ์ จำกัด กล่าวเสริม

บริษัท มันนิกซ์ จำกัด (MONIX) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2563 เป็นบริษัทร่วมทุนของกลุ่มธุรกิจทางการเงิน SCB X และ Abakus Group ฟินเทคยูนิคอร์นจากประเทศจีน ด้วยการผสมผสานระหว่างนวัตกรรม เทคโนโลยี และองค์ความรู้ด้านผู้ใช้งานของทั้งสองกลุ่มธุรกิจ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการเงิน ที่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบเดิมยังไม่สามารถทำได้ผ่านแอปพลิเคชันฟินนิกซ์ (FINNIX)

แอปพลิเคชันฟินนิกซ์เป็นบริการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ให้บริการสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ผ่านช่องทางดิจิทัล 100% ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่การขอสินเชื่อจนถึงการอนุมัติสินเชื่อและเบิกถอน สร้างโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยที่เคยถูกธนาคารหรือสถาบันการเงินปฏิเสธมาก่อนสามารถสมัครขอสินเชื่อได้อย่างง่ายดายภายใน 5 นาที ปัจจุบันแอปพลิเคชันฟินนิกซ์มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 7.5 ล้านครั้ง และมีคะแนนรีวิวแอปเฉลี่ยอยู่ที่ 4.5 จาก 5 ในกูเกิลเพลย์และแอปเปิลแอปสโตร์ โดยปัจจุบันมียอดปล่อยสินเชื่อไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Macquarie กลุ่มบริษัทการเงินระดับโลกระบุว่า ประเทศไทยมีประชากรวัยทำงานที่ไม่สามารถเข้าถึงการบริการทางการเงินของธนาคารสูงถึง 63% ซึ่งรวมถึงผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยหรือธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลางที่เข้าไม่ถึงผลิตภัณฑ์ของธนาคาร

ข้อมูลนี้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) ที่มุ่งส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินที่เท่าเทียมและเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินในประเทศ เรื่องนี้อยู่จัดอยู่ในเป้าหมายลำดับที่ 8 จาก 17 เป้าหมายขององค์การฯ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลไทยที่มุ่งพัฒนาให้คนไทยกว่า 30 ล้านคนสามารถเข้าถึงระบบธนาคารและบริการภาคการเงินผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่

นาย โมฮัมหมัด ฟูลาดี Regional Head of Customer Value Proposition บริษัท ADVANCE.AI กล่าวว่า "เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจร่วมกับทางมันนิกซ์เป็นอย่างมาก และตระหนักถึงวิธีในการสนับสนุนกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่เข้าถึงการบริการทางการเงินของธนาคารในประเทศไทยเพื่อให้ได้รับเครดิตที่ต้องการ ด้วยความก้าวหน้าทางปัญญาประดิษฐ์จะสามารถทำให้การเข้าถึงลูกค้า รวมถึงข้อกำหนดและขั้นตอนในการพิจารณาให้สินเชื่อทำได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น แต่ยังคงความปลอดภัยให้กับทั้งผู้ใช้งานและสถาบันการเงิน ความท้าทายในตอนนี้สำหรับสถาบันการเงินต่าง ๆ คือการคิดและตัดสินใจว่าจะสามารถใช้ AI เพื่อสร้างประสบการณ์แบบใหม่ให้กับลูกค้าธนาคารได้อย่างไรในยุคหลังโควิด-19"
#3139
เฟรนช์ฟรายส์ ครัวบ้านยาย บ้านนา ชุมพร Tel/Line 086-7348650
#3140
ลีวาลีย์ เวดดิ้ง รับจัดงานแต่งงาน ขอแสดงความยินดีกับอีกหนึ่งคู่รักงานจัดออกมาด้วยความอบอุ่นและประทับใจอย่างที่สุดสำหรับคู่รักคู่นี้ คุณเอิงและคุณชิ ขอบคุณทุกความรักที่ทำให้เราได้รู้จักกัน ขอบคุณทุกโอกาสที่คู่บ่าวสาวมอบให้เรา ขอบคุณทุกคำชื่นชมและความชื่นใจของคุณพ่อคุณแม่ ที่สุดแสนประทับใจในผลงานของเรา ลีวาลีย์ เวดดิ้ง รับจัดงานแต่งงาน  ของเราจะตอบแทนทุกความไว้วางใจ ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมและประทับใจ ฤกษ์ดีปีนี้ให้ ลีวาลีย์ เวดดิ้ง รับจัดงานแต่งงาน ดูแลงานแต่งงานของคุณ เพราะเรา จะทำให้วันที่สำคัญที่สุด เป็นมากกว่า " งานแต่งงาน " ลีวาลีย์ เวดดิ้ง รับจัดงานแต่งงาน  รับจัดงานแต่งครบวงจร
Meet Khun Aeung & Khun Chi our lovely Siambrasserie We're honored to be your witness of love. Thank you so much for very opportunities and we're appreciated with your compliments. We will serve you with impressive event as our concept " It's not just a wedding, It's more than wedding."
For more information :
We offer Organize , Wedding Organize and Tray of Gifts (Khan Mak) for rent.
-FACEBOOK : =AZUqffjWom4M_Wv5kNk4Ekpxhs_Ao1lPA2zUnTnCZBqVjNEJb9-gL1TBKKGlcuxgNW8dxuAFlF5wdWUUiLxObfbv695qkih_crZO6AUyF4GHkUwRIWIBmmM1RkTEENahmA6LNr2D8skLnt6FcxOvGqoWt9ByCe4x9YyMLoKu44VwMfgLM9dkvmdKLpHr29ajT-bNtVsFi52u99_uyPXLcyR7&__tn__=kK-R]https://www.facebook.com/livaliwedding/
-LINE@ : @livaliwedding
-IG : livaliwedding
WEBSITE. http://www.livaliwedding.com/
Mobile 0888744499,0979565144
Livali Wedding
One stop service Wedding organizer by Mr. Dip Boyscout. He will serve you with love and care from botton of his heart. You can rely on us
FACEBOOK =AZUqffjWom4M_Wv5kNk4Ekpxhs_Ao1lPA2zUnTnCZBqVjNEJb9-gL1TBKKGlcuxgNW8dxuAFlF5wdWUUiLxObfbv695qkih_crZO6AUyF4GHkUwRIWIBmmM1RkTEENahmA6LNr2D8skLnt6FcxOvGqoWt9ByCe4x9YyMLoKu44VwMfgLM9dkvmdKLpHr29ajT-bNtVsFi52u99_uyPXLcyR7&__tn__=kK-R]https://www.facebook.com/livaliwedding/
LINE. ลีวาลีย์ เวดดิ้ง [url=https://www.livaliwedding.com/]รับจัดงานแต่งงาน[/i][/b][/color][/url] รับจัดงานแต่งครบวงจร  ออแกไนซ์งานแต่งงาน ให้เช่าพานขันหมาก Livali Wedding
IG : livaliwedding
WEBSITE. =AT3RJL6arBF6_XxKnODpDwMFAQL-NojpE8WvupK38DSuP1JK3zvmCCDLUxPcXp_k6PgximvaYv2tJin6s6x_yoEF79DGauTtsNWBRACII5fd69iD6phfEYzRR2gbmNXLKOEH3lO0sgHgAS65mEo5JajNM_84xNqHKRzNmFOYOoyw02D0QVjPybys5xz1CsgheD0pMvcUsiThLpcTNj74PF2KGM9NmSAXiD0]http://www.livaliwedding.com/
Mobile 0888744499,0979565144
ลีวาลีย์ เวดดิ้ง รับจัดงานแต่งงาน รับจัดงานแต่งครบวงจร ออ แก ไนซ์ งานแต่ง ดูแลพิธีการ โดย ดิ๊พ บอยสเก๊าท์ พิธีกรงานแต่ง ขอดูแลทุกคู่รัก ด้วยหัวใจ ด้วยอุปกรณ์ที่ทรงคุณค่าและมีความสวยงามตามหลักจารีตประเพณี ลำดับทุกขั้นตอนพิธี โดย พิธีกรงานแต่งงาน มืออาชีพ ดิ๊พ บอยสเก๊าท์ ลีวาลีย์ เวดดิ้ง รับจัดงานแต่งงาน


#3141
เครื่องตัดเม็ดพลาสติก นำเข้าจากต่างประเทศ

เครื่องตัดเม็ดพลาสติกเป็นเครื่องจักรประเภท Extruder หรือเครื่องจักรประเภทรีดพลาสติกให้ออกมาเป็นเส้น ถ้าเครื่องจักรประเภทนี้เราจะเรียกว่า Extrution machine วัตถุดิบที่ใช้สำหรับการทำงานกับเครื่องจักรตัวนี้คือ PVC PP PS ABS ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าว่าลูกค้าต้องการอะไร

เครื่องตัดเม็ดพลาสติกมีกี่แบบกี่ประเภท?
[url=www.cctgroup.co.th/%e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b9%87%e0%b8%94%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%81-%e0%b8%a1/]เครื่องตัดเม็ดพลาสติก[/url]มีทั้งหมด 2 ประเภท ทั้ง 2 ประเภทนี้มีความต่างกันและทำหน้าที่ต่างกัน แต่ก็อย่างที่ผมบอกว่าขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าว่าตัววัตถุดิบของลูกค้าเป็นแบบไหน เครื่องตัดเม็ดพีวีซี ถ้าวัตถุดิบของลูกค้าเป็น ABS PP หรือพลาสติกจำพวกอื่นที่มีความเหนียว ลูกค้าต้องใช้แบบ Single Screw แต่ถ้าวัตถุดิบของลูกค้าเป็น PVC หรือพลาสติกที่ไม่มีความเหนียว เครื่องตัดเม็ดพีวีซีพลาสติก ลูกค้าสมควรใช้แบบ Twin Screw


ติดต่อ :
Email : info@cctgroup.co.th
เบอร์โทรศัพท์ : 081-2079977 , 081-6428557 (คุณสมนึก)
Line ID : 0812079977
เรียบเรียงข้อมูลโดย : https://www.cctgroup.co.th 
#3142

เฟดเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น ZNYSE: FDX) ประกาศ ผลสำรวจจากรายงานประจำปี 2565 เกี่ยวกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกของบริษัทในภูมิภาคสำคัญทั่วโลกเพื่อ เป็นการสรุปผลประกอบการ ประจำปีงบประมาณ 2565 โดยการจัดทำรายงานนี้ได้รับการแนะนำจาก ดัน & แบรด สตรีต (NYSE: DNB) บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจชั้นนำของโลกซึ่งเป็นครั้งแรกที่เฟดเอ็กซ์ได้ทำการศึกษา ผลกระทบของบริษัทต่อเศรษฐกิจในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก กว่า 49 ปีที่เฟดเอ็กซ์ได้ขยายการบริการไปยัง กว่า 220 ประเทศ และได้ลงทุนในการสร้างเครือข่ายการขนส่งเพื่อช่วยให้ทุกภาคธุรกิจ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่สามารถเชื่อมต่อกัน เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเติบโตให้เศรษฐกิจโลก

รายงานฉบับนี้ชี้ว่าเฟดเอ็กซ์มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือภาคธุรกิจต่าง ๆ ให้ฟื้นตัวได้จากวิกฤต โรคระบาดที่ผ่านมาด้วยการเอาชนะความท้าทายทางเศรษฐกิจและวิกฤตห่วงโซ่อุปทานครั้งใหญ่ ในปี 2565 นี้ เฟดเอ็กซ์มีพนักงานเกือบ 550,000 คนทั่วโลกที่ทำการขนส่งพัสดุกว่า 16 ล้านชิ้นต่อวัน ผ่านศูนย์กระจายสินค้า 5,000 แห่ง พร้อมความมุ่งมั่นในการขยายเครือข่าย การขนส่งและการลงทุนด้านต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าของเฟดเอ็กซ์ ได้รับบริการที่ดียิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ด้วยการบริการที่ครอบคลุมทั่วโลก เฟดเอ็กซ์ได้ช่วยให้ลูกค้ารายบุคคล ธุรกิจต่าง ๆ และชุมชนฟื้นตัวจาก วิกฤตโรคระบาด ผ่านการขนส่งสินค้าและมอบบริการที่ช่วยเชื่อมต่อและขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก โดยในรายงาน ฉบับล่าสุดได้แสดงให้เห็นว่าการทำงานในแต่วันของเรามีความสำคัญในการช่วยสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและเล็ก ซึ่งเป็นเสมือนกระดูกสันหลังของชุมชนต่าง ๆ และเราขอเรียกสิ่งนี้ว่า 'FedEx Effect' " นายราจ สุบรามาเนียม ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเฟดเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น กล่าว

เครื่องบ่งชี้ถึง FedEx Effect
เฟดเอ็กซ์ในฐานะบริษัทขนส่งมีบทบาทสำคัญต่อนวัตกรรมด้านพลังงาน การส่งเสริมการจ้างงาน ในชุมชนต่าง ๆ และช่วยสนับสนุนนผู้คนในท้องถิ่นและชุมชนในระดับภูมิภาคในหลายประเทศทั่วโลก

เฟดเอ็กซ์ทำงานร่วมกับผู้ผลิตกว่า 360,000 รายทั่วโลก เกี่ยวข้องกับการจ้างงานมากกว่า 16.5 ล้านคน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่ทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญต่อชุมชนและตลาดในท้องถิ่น โดยคิดเป็นมูลค่ารวมต่อปีถึง 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ภาคธุรกิจขนาดเล็กคิดเป็น 88% ในห่วงโซ่อุปทานของเฟดเอ็กซ์ในแต่ละภูมิภาค ซึ่งมีจำนวนพนักงานใน ธุรกิจขนาดเล็กประมาณ 810,000 รายทั่วโลกที่เฟดเอ็กซ์ได้ให้การสนับสนุน
ในปีงบประมาณ 2565 เฟดเอ็กซ์ได้ลงทุนไปกว่า 6,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าปี 2564 ถึง 15% โดยเป็นการลงทุนในด้านสิ่งอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าและพนักงาน เพิ่มศักยภาพของเครือข่าย และปรับปรุงสาธารณูปโภคขององค์กร ทั้งหมดนี้ช่วยให้เกิดความเติบโตทางเศรษฐกิจโดยตรงในแต่ละ ประเทศที่เฟดเอ็กซ์ดำเนินงานอยู่
ผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (AMEA)
บริษัทต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ใน 100 กว่าประเทศและพรมแดนแถบภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง อนุภูมิภาคอินเดีย และแอฟริกาซึ่งมีความเชื่อมโยงถึงกันสูง แสดงให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญและโดดเด่นอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าระดับโลก และเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ข้อมูลจากรายงานพบว่าเฟดเอ็กซ์ได้ลงทุนเชิงกลยุทธ์ซึ่งส่งผลให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 13% โดยสนับสนุนให้เกิดตำแหน่งงานเพิ่มขึ้นกว่า 58,000 ตำแหน่ง นอกเหนือจากจำนวนของพนักงานเดิม 37,000 คน ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และ แอฟริกา (AMEA)

"ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสานต่อพันธกิจของเราที่เคยให้ไว้ต่อภูมิภาคนี้ เฟดเอ็กซ์จึงได้สนับสนุนเพื่อช่วยเหลือธุรกิจและชุมชนกว่าแสนรายให้รอดพ้นและสามารถฟื้นฟูจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19ได้" กล่าวโดย คาวาล พรีท ประธานภูมิภาค AMEA ของเฟดเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส และเสริมว่า "การลงทุนพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าในโอซาก้า และดูไบ ช่วยให้เราสามารถตอบสนองต่อความต้องการและเพิ่มประสิทธิภาพของเส้นทางการบินสำหรับลูกค้าของเราได้ในช่วงที่สถานการณ์ของห่วงโซ่อุปทานมีความผันผวน นอกจากนี้การลงทุนและการปรับปรุงในสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ เช่น การปรับปรุง Clark Gateway ในประเทศฟิลิปปินส์ รวมถึงการรวมศูนย์กลางของศูนย์กระจายสินค้าที่กรุงเดลี ยังช่วยให้เราสามารถเข้าถึงตลาดเกิดใหม่ได้มากขึ้น ตามมาด้วยประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น"

การดำเนินธุรกิจของเฟดเอ็กซ์ในภูมิภาคนี้ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดเฟดเอ็กซ์ได้เปิดให้บริการ Direct commercial presence ในประเทศกัมพูชา อียิปต์ ซาอุดิอาราเบีย และ จอร์แดน
นอกจากนี้เฟดเอ็กซ์ยังได้ประกาศแผนการขยายศูนย์กระจายสินค้าโดยการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแห่งใหม่ ในนครกว่างโจว ทางตอนใต้ของประเทศจีน
อีกทั้งเฟดเอ็กซ์ยังมีการลงทุนจัดตั้งศูนย์ นำเข้า-ส่งออกสินค้าจากต่างประเทศแห่งใหม่ด้วย งบประมาณกว่า 76 ล้านบาท ณ สนาบินบังกาลอ ประเทศอินเดีย เพื่อเสริมศักยภาพให้กับ ศูนย์กลางการขนส่งที่สนามบินนานาชาติเดลี
ในประเทศญี่ปุ่น เฟดเอ็กซ์ใช้งบประมาณกว่า 511 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการดำเนินธุรกิจในปี 2565 การขนส่งสินค้าจากญี่ปุ่นไปยังภูมิภาคสำคัญต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องระหว่างปี 2564 และ 2565 โดย 54.8% เป็นการขนส่งไปยังสหรัฐอเมริกา 47.5% ไปยังทวีปยุโรป 37.4% ไปยังทวีปอเมริกา และ 18.5% ไปยังตะวันออกกลาง อนุภูมิภาคอินเดียและแอฟริกา
เฟดเอ็กซ์เพิ่งเปิดศูนย์กลางการขนส่งแห่งใหม่ทางตอนใต้ของดูไบ เพื่อยกระดับการเชื่อมต่อในภูมิภาค และในระดับโลกให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยศูนย์กลางการขนส่งแห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณสนามบินดูไบ เวิลด์ เซ็นทรัล ที่พรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและถูกออกแบบเพื่อการปฏิบัติงานแบบประหยัด พลังงานอย่างยั่งยืน
เฟดเอ็กซ์ยึดมั่นในพันธะสัญญาทางด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการไม่แบ่งแยกในที่ทำงาน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในบริษัทข้ามชาติที่น่าทำงานด้วยที่สุดในโลก เป็นลำดับที่ 21 โดย Fortune Magazine อีกทั้งได้รับรางวัลหนึ่งในบริษัทที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟฟริกา (AMEA) ซึ่งรวมถึงประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และไทย นอกจากนี้ในปี 2021 คาวาล พรีท ได้ลงนามในแถลงการณ์ของประธานบริษัทในวาระการสนับสนุนหลักการเสริมสร้างศักยภาพสตรี จัดทำขึ้นโดยองค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (UN Women) และเครือข่ายกรอบความร่วมมือการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (UN Global Compact)

สร้างแรงกระเพื่อม
ข้อมูลจากรายงานแสดงให้เห็นว่าในปีงบประมาณ 2022 เฟดเอ็กซ์ได้บริจาคเงินมากกว่า 3 พันล้านบาทให้กับองค์กรการกุศลและองค์กรไม่แสวงหากำไรในท้องถิ่นและชุมชนที่สมาชิกในทีมอาศัยและทำงานอยู่ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงโครงการด้านสิ่งแวดล้อม การศึกษา การสนับสนุนการเป็นผู้ประกอบการสำหรับเยาวชน และโครงการริเริ่มด้านการดูแลสุขภาพเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟฟริกา (AMEA) นอกจากนี้บริษัทยังทำหน้าที่เป็นกำลังสำคัญสำหรับการจัดส่งความช่วยเหลือด้านอาหารให้กับผู้อยู่อาศัยในเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ในช่วงล็อคดาวน์ภายใต้การควบคุมโรคระบาดโควิด-19 และส่งมอบวัคซีนรวมถึงเวชภัณฑ์ที่สำคัญไปยังอินเดีย เกาหลี และเวียดนามเป็นต้น

เฟดเอ็กซ์ มุ่งมั่นที่จะเชื่อมต่อโลกอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับการดำเนินงานที่สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2040 และเพิ่มการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนในการขับเคลื่อนการดำเนินงานขององค์กร
#3143
ธอส. เปิดจองสิทธิ์เงินฝากออมทรัพย์ New Freshy รับผลตอบแทนสูงสุด 4.00% ต่อปี เฉพาะในงานมหกรรมร่วมใจแก้ไขหนี้ฯ 4-6 พฤศจิกายน 2565 นี้เท่านั้น!!

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพิ่มโปรโมชั่นพิเศษในงาน "มหกรรมร่วมใจแก้ไขหนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ" ด้วย เงินฝากออมทรัพย์ New Freshy ให้ผลตอบแทนอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดสูงสุดถึง 4.00% ต่อปี พร้อมรับดอกเบี้ยเป็นรายเดือน จองสิทธิ์เปิดบัญชีได้เฉพาะผู้ที่เข้าร่วมงานนี้เท่านั้น!! อัตราดอกเบี้ยแบ่งเป็นตั้งแต่วันเปิดบัญชี-วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 1.25% ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 - 1 ธันวาคม 2567 จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 2.50% ต่อปี และตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2567-2 มีนาคม 2568 จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี โดยรับอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยรวมสูงถึง 2.11% ต่อปี (คำนวณจากวันสุดท้ายของการรับเปิดบัญชีและรับฝากเพิ่ม) เพียงจองสิทธิ์ภายในงานมหกรรมร่วมใจแก้ไขหนี้ฯ ณ อิมแพ็ค ฮอลล์ 5 เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2565 พร้อมเปิดบัญชีและฝากเงินภายในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 ณ สาขาของ ธอส. ในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ เปิดบัญชีเงินฝากขั้นต่ำ 10,000 บาท ขึ้นไป สำหรับผู้ที่มีอายุ ต่ำกว่า 50 ปี วงเงินฝากไม่เกิน 2 ล้านบาท และสำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป วงเงินฝากไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยจองสิทธิ์ เปิดบัญชีเงินฝากได้ท่านละ 1 บัญชีเท่านั้น พิเศษ!อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ได้รับไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ทั้งนี้ ภายในงานมหกรรมร่วมใจแก้ไขหนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ ธอส. ได้นำมาตรการช่วยเหลือและผลิตภัณฑ์ทางการเงินสุดพิเศษเฉพาะในงานนี้เท่านั้นไปให้บริการลูกค้าประชาชน นำโดย มาตรการ 22 [M22] : สำหรับลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL หรือ ลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL ที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการ/ปรับโครงสร้างหนี้ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ให้ผ่อนชำระเงินงวดต่ำพร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษระยะเวลา 2 ปี โดย เดือนที่ 1-10 ผ่อนชำระเพียงงวดละ 1,000 บาท คิดดอกเบี้ยเท่ากับ 0% ต่อปี (ตัดชำระเงินต้นทั้งหมด) ซึ่งถือเป็นการยกเว้นการคิดอัตราดอกเบี้ยนานที่สุดเท่าที่ธนาคารเคยออกมาตรการมา สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.40% (เท่ากับ 2.75%) ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.150% ต่อปี) ให้กู้เพื่อรีไฟแนนซ์บ้านหรือห้องชุด(คอนโดมิเนียม)จากสถาบันการเงินอื่น หรือเพื่อต่อเติม ขยาย ซ่อมแซม เป็นต้น พิเศษ!! ธนาคารผ่อนปรนเงื่อนไขการกู้ ณ วันยื่นกู้ลูกค้ามีสถานะบัญชีปกติ ไม่มีหนี้ค้าง สลากออมทรัพย์ ธอส. ผลตอบแทนดี โอกาสถูกรางวัลสูง รางวัลที่ 1 มูลค่าสูงสุด 2 ล้านบาท และบ้านมือสอง ธอส. คุณภาพดี ทำเลเด่น จากทั่วประเทศมากกว่า 1,000 รายการ จำหน่ายพร้อมส่วนลดสูงสุด 50% จากราคาประเมินปัจจุบัน และสามารถผ่อนดาวน์ 0% ระยะเวลานานถึง 36 เดือนทุกรายการทรัพย์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB ALL , Mobile Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th
#3144

ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 200 จุด หลุดระดับ 32,000 จุดในวันนี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยยาวนานกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

ณ เวลา 20.37 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 31,926.61 จุด ลบ 221.25 จุด หรือ 0.69%

นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

ทั้งนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์ทำให้นักลงทุนวิตกว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้จากต่างประเทศ ส่วนการปรับตัวขึ้นของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐ จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายลดน้อยลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินกู้จำนองเพิ่มมากขึ้น และบริษัทต่างๆจะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน

เฟดจัดการประชุมนโยบายการเงินวานนี้ โดยมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% ในเดือนธ.ค.

อย่างไรก็ดี นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวแสดงความมุ่งมั่นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

คำกล่าวของนายพาวเวลส่งผลให้นักลงทุนคาดว่าวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะยาวนานกว่าที่คาดไว้ ขณะที่ตลาดปรับเพิ่มคาดการณ์เพดานสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยของเฟดสู่ระดับ 5% หรือสูงกว่านั้นในปีหน้า จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 4.50-4.75%

นักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันพรุ่งนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 205,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 263,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย.
#3145

นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม (KLINIQ) เปิดเผยว่า KLINIQ เตรียมเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก 7 พ.ย.นี้ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ มั่นใจว่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน ในฐานะผู้นำธุรกิจสุขภาพและการแพทย์ความงามครบวงจร คลินิกเจ้าแรกของประเทศไทยที่เข้าระดมทุนตลาดหุ้นสำเร็จ ภายใต้จุดแข็งแบรนด์ THE KLINIQUE ที่มีความแข็งแกร่ง ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ นวัตกรรมเครื่องมือ US FDA และประสบการณ์มายาวนานกว่า 13 ปี

อีกทั้งยังมีจุดแข็งในเรื่องของโมเดลธุรกิจ Asset Light และฐานะการเงินที่มีความแข็งแกร่ง ไร้หนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย (Cash Rich-Zero Debt) รวมทั้งการมีลูกค้ากว่า 2 แสนราย เข้ามาใช้บริการซ้ำ ทำให้มีรายได้สม่ำเสมอ (Recurring Income) เมื่อผนวกกับแผนการขยายคลินิกเวชกรรม 6-10 สาขา/ปี ทั้งในกรุงเทพฯ หัวเมืองหลัก และหัวเมืองรอง ทำให้เห็นภาพการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ KLINIQ ในช่วง 1-3 ปีขางหน้า

นอกจากนี้ กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมและนักลงทุน VI ที่ได้เข้ามาลงทุนในช่วงก่อนหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น พร้อมใจ Lock up หุ้นทั้ง 100% เป็นเวลา 6 เดือน

KLINIQ เตรียมนำเงินที่ระดมทุนไปใช้ในการขยายสาขาคลินิกเวชกรรมราว 6-10 สาขา/ปี คาดว่าจะใช้เงินลงทุนขยายคลินิกเวชกรรม และจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์เพิ่มเติมประมาณ 950 ล้านบาท ส่วนศูนย์ศัลยกรรมจะใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท และพัฒนาระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของฝ่ายสนับสนุน งบลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มดำเนินงานได้ภายในปี 2566 และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 270 ล้านบาท

นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมสายงานวาณิชธนกิจ ด้านตลาดทุน บล.ดาโอ (ประเทศไทย) (DAOL) ในฐานะปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย KLINIQ กล่าวว่า มั่นใจว่า KLINIQ จะเป็นหุ้น Growth Stock ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน เห็นได้จากในช่วงระหว่างเปิดจองซื้อหุ้น IPO มีนักลงทุนสถาบัน นักลงทุน VI ให้ความสนใจเข้ามาจองซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ยอดจองล้นโดยมีสัดส่วนสถาบันจองเกือบ 40% แสดงให้เห็นถึงการตอบรับที่ดี เมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นที่เสนอขายไม่เกิน 60,000,000 หุ้น ราคาเสนอ 24.50 บาท/หุ้น

"ที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของ KLINIQ มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก เนื่องจากธุรกิจเพื่อสุขภาพและความงามยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ลูกค้าของบริษัทฯ เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลาย รวมถึงแผนขยายคลินิกเวชกรรม 6-10 สาขา/ปี เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงชาวต่างชาติ จะเป็นสปริงบอร์ดให้ผลการดำเนินงานของ KLINIQ ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้าเติบโตอย่างก้าวกระโดด สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง"
ทั้งนี้ ในงวด 6 เดือนแรกของปี 65 ของ KLINIQ มีรายได้รวม 714.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.26% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 451.59 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 100.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67.03% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 60.00 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิของปี 64 ทั้งปีอยู่ที่ 129.25 ล้านบาท
#3146
ชโรเดอร์สเผยผลการศึกษานักลงทุนทั่วโลกประจำปี 2022 : สองในสามของนักลงทุนไทยเชื่อว่า การลงทุนเพื่อโลกที่ยั่งยืนมีความเป็นไปได้มากที่จะสร้างผลตอบแทนในระยะยาว

นักลงทุนไทยสนใจการลงทุนในธุรกิจที่มุ่งสู่ความยั่งยืนด้วยเหตุผลด้านปัญหาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก

นักลงทุนในประเทศไทยให้ความสำคัญกับผลตอบแทนจากการทุนที่เป็นตัวเงินเป็นหลัก แต่ในขณะเดียวกันก็คำนึงถึงปัจจัยทางด้านความยั่งยืนประกอบกันด้วย
จากผลการศึกษานักลงทุนทั่วโลกปี 2022 ของ ชโรเดอร์ส (Schroders) พบว่าสองในสามของนักลงทุนไทย (67% เทียบกับ 66% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 55% ทั่วโลก) ค่อนข้างเชื่อว่าการลงทุนอย่างยั่งยืนเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนผลตอบแทนระยะยาว

ผลการศึกษาที่สำคัญของ Schroders ที่มุ่งเน้นประเด็นความยั่งยืน และสำรวจผู้คนที่ลงทุนเกือบ 24,000 คน ใน 33 แห่งทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย พบว่านักลงทุนไทยจำนวนมากกว่าสองในสาม (70% เทียบกับ 72% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 68% ทั่วโลก) ที่ถือว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มผู้ลงทุนที่มีความชำนาญ เชื่อว่าการลงทุนในธุรกิจที่มุ่งสู่ความยั่งยืนเป็นหนทางสำคัญที่จะนำไปสู่ผลกำไรที่ยั่งยืนในระยะยาว

เมื่อเปรียบเทียบกับนักลงทุนที่มีความชำนาญในระดับปานกลางในประเทศไทย จำนวน 64% (เทียบกับ 60% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 52% ทั่วโลก) ซึ่ง 67% ของนักลงทุนกลุ่มนี้เชื่อว่าตัวเองมีความรู้ด้านการลงทุนในระดับเบื้องต้น(เทียบกับ 62% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 43% ทั่วโลก)

ในทำนองเดียวกัน นักลงทุนที่ มีความชำนาญ จำนวน 70% (เทียบกับ 72% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ ทั่วโลก) ให้ความเห็นว่าการลงทุนอย่างยั่งยืนสามารถสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในเรื่องที่ท้าทายได้ เช่น เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

กล่าวโดยเฉพาะเจาะจง ผลการศึกษาโดยเรียงลำดับการให้ความสำคัญของนักลงทุนไทยพบว่า เรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็นเหตุผลหลักที่นักลงทุนไทยหันมาใส่ใจในการลงทุนอย่างยั่งยืน (65% เทียบกับ 56% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 52% ทั่วโลก) รองลงมาคือเรื่อง ประเด็นด้านสังคม 50% (เทียบกับ 44% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 43% ทั่วโลก) และลำดับที่สาม คือ เรื่องผลตอบแทนที่เป็นตัวเงิน(30% เทียบกับ 37% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 36% ทั่วโลก)

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่นักลงทุนหลายคนยังคงเน้นผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินเป็นลำดับแรกในการพิจารณาการลงทุน โดยจำนวนมากกว่าครึ่ง (65% เทียบกับ 63% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 56% ทั่วโลก) แสวงหากองทุนที่สามารถสร้างผลกำไรจากการลงทุนได้ ในขณะเดียวกันก็นำปัจจัยด้านความยั่งยืนเข้ามาประกอบการพิจารณาร่วมด้วย โดยเฉพาะผู้ลงทุนในแถบเอเชีย (61%) และอเมริกา (60%) ในขณะที่ผู้ลงทุนในยุโรปมีแนวโน้มที่จะเลือกกองทุนที่มีวัตถุประสงค์ชัดเจนในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อผู้คนและโลกมากกว่า (51%)

ขับเคลื่อนการลงทุนไปในทิศทางเดียวกับความสนใจของผู้คนเรื่องความยั่งยืน

ผลการศึกษายังพบอีกด้วยว่าผู้ลงทุนมีแนวโน้มที่จะลงทุนเพิ่มขึ้นในกองทุนที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน หากกองทุนเหล่านั้นสามารถลงทุนไปในทิศทางเดียวกับค่านิยมหรือความชื่นชอบส่วนตัวของตนเอง ทั้งนี้นักลงทุนไทยจำนวนมากกว่าครึ่ง (73% เทียบกับ 63% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 57% ทั่วโลก) ที่นิยามตัวเองว่าเชี่ยวชาญในทุกระดับกล่าวว่า ความสามารถในการเลือกการลงทุนที่สอดคล้องกับค่านิยมด้านความยั่งยืนส่วนบุคคลจะสนับสนุนให้เขาจัดสรรการลงทุนแบบยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น

สำหรับเป้าหมายเฉพาะในด้านความยั่งยืนของนักลงทุนนั้น การศึกษาที่มีคุณภาพถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในประเทศไทย โดยผู้ที่ถูกสำรวจจำนวน 19% (เทียบกับ 20% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทั่วโลก) ให้ความสำคัญกับข้อนี้เป็นลำดับที่หนึ่ง รองลงมาลำดับที่สอง คือ เรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (18% เทียบกับ 17% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 12% ทั่วโลก) และลำดับที่สาม คือ เรื่องการขจัดความยากจน (16% เทียบกับ 15% ทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทั่วโลก)

การให้ความรู้ การรายงานข้อมูล ตลอดจนความโปร่งใสในเรื่องผลกระทบของการลงทุนอย่างยั่งยืน เป็นปัจจัยสำคัญที่จะกระตุ้นให้คนไทยลงทุนมากขึ้น

นอกเหนือจากความสามารถในการเลือกลงทุนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับความชอบส่วนตัวเรื่องความยั่งยืนแล้ว ประมาณครึ่งหนึ่งของนักลงทุน (57% เทียบกับ 51% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 48% ทั่วโลก) กล่าวว่า การให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนแบบยั่งยืนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้เขาจัดสรรการลงทุนได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น อย่างไรก็ดี นักลงทุนทุกระดับกล่าวว่า การขาดคำจำกัดความที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับว่าการลงทุนที่ยั่งยืนหมายถึงอะไร เป็นหนึ่งในอุปสรรคที่สำคัญที่สุดในการเลือกการลงทุนอย่างยั่งยืน

นอกเหนือไปจากสามปัจจัยดังกล่าวแล้ว นักลงทุนไทยจำนวน 55% (เทียบกับ 52% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 44% ทั่วโลก) ได้ระบุว่า หากมีข้อมูลและหลักฐานแสดงว่าผลตอบแทนจากการลงทุนแบบยั่งยืนจะให้ผลตอบแทนสูงขึ้นกว่าการลงทุนโดยทั่วไปจะช่วยสนับสนุนให้เขาตัดสินใจลงทุนเพิ่มมากขึ้น

ลิลี่ โช (Lily Choh) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ชโรเดอร์ส สิงคโปร์ได้กล่าวไว้ว่า: "เรามีความยินดีที่เห็นว่านักลงทุนส่วนใหญ่ในประเทศไทยเชื่อว่า ความยั่งยืนเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาว ทั้งนี้ บทบาทของผู้จัดการกองทุนกำลังทวีความสำคัญขึ้นในการช่วยให้นักลงทุนแยกแยะ และเข้าใจดีขึ้นเกี่ยวกับประโยชน์ของการลงทุนเพื่อโลกที่ยั่งยืน นอกจากนั้น การแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างผลตอบแทนของการลงทุนแบบยั่งยืนในระยะยาว และการลงทุนในบริษัทที่สร้างผลกระทบในแง่บวกต่อปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมก็กำลังทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นทุกวัน

กลยุทธ์แบบยั่งยืนในการสร้างโอกาสเพื่อมุ่งสู่ธุรกิจที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำ และการให้ความรู้ด้านการเงิน ล้วนเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนเม็ดเงินลงทุนไปสู่การลงทุนแบบยั่งยืน เราเชื่อว่าเรากำลังเข้าใกล้จุดสูงสุดที่นักลงทุนปรับทางเลือกในการลงทุนให้เข้ากับค่านิยมของเขา ทั้งนี้ ความเข้าใจที่ดีขึ้นในผลิตภัณฑ์ที่ลงทุน กอปรกับผลกระทบของการลงทุนนั้นที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม จะช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนจัดสรรการลงทุนแบบยั่งยืนเพิ่มขึ้น"

ท่านสามารถเข้าถึงรายงานการลงทุนแบบยั่งยืนรายไตรมาสทั้งหมด ของ Schroders ได้จากที่นี่

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการศึกษานักลงทุนทั่วโลก โปรดคลิกที่นี่ ซึ่งมีข้อมูลสำคัญของผลการสำรวจในประเทศไทยด้วย
#3147

นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่และกรรมการบริหาร บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) เปิดเผยว่า บริษัทออกและเสนอขายหุ้นกู้ ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้ทั่วไปชุดที่ 1 และหุ้นกู้ดิจิทัลชุดที่ 2 โดยหุ้นกู้ทั้ง 2 ชุด มีอายุ 4 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2569 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.55% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่บริษัทเสนอขายหุ้นกู้ให้แก่ประชาชนทั่วไป โดยเสนอขายในระหว่างวันที่ 1-3 พ.ย.65 ด้วยมูลค่าเสนอขาย 1,500 ล้านบาทตามเป้าหมาย และเนื่องจากมีผู้ลงทุนสนใจจองซื้อเป็นจำนวนมาก ทำให้บริษัทตัดสินใจใช้หุ้นกู้ส่วนที่สำรองเพื่อเสนอขาย (Greenshoe) เพิ่มเติมอีกจำนวน 158 ล้านบาท รวมมูลค่าเสนอขายทั้งสิ้นกว่า 1,658 ล้านบาท

"การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ประสบความสำเร็จ และสามารถทำให้ผู้ลงทุนทั่วไปเข้าถึงหุ้นกู้เอกชน ที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ ด้วยระยะเวลาการลงทุนที่เหมาะสม ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้" กรรมการผู้จัดการใหญ่และกรรมการบริหาร STA กล่าว

ทั้งนี้ หุ้นกู้ STA ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2565 ที่ระดับ "A" แนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยางธรรมชาติและความต้องการใช้ถุงมือยางที่ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง

ปัจจุบัน STA ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายยางธรรมชาติแบบครบวงจร (Full Supply Chain) ในหลายประเทศ เริ่มตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำ ได้แก่ การทำสวนยางพาราในประเทศไทย ธุรกิจกลางน้ำ ประกอบด้วย การผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติ ทั้งยางแท่ง (TSR) ยางแผ่นรมควัน (RSS) และน้ำยางข้น (Concentrated Latex) รวมถึงธุรกิจปลายน้ำ ได้แก่ การผลิตและจำหน่ายถุงมือยาง และสินค้าสำเร็จรูป อาทิ ท่อไฮดรอลิกแรงดันสูง

สำหรับการออกและเสนอขายหุ้นกู้ฯ ของ STA ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ โดยบริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการขยายกำลังการผลิตยางแท่ง 140,160 ตันต่อปี ที่โรงงานจังหวัดตรัง คาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จและเริ่มทยอยเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ได้ในเดือน มิ.ย.และ ก.ย.66 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนขยายกำลังการผลิตยางธรรมชาติในปี 66 เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดและรักษาความเป็นผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของโลก
#3148

ADVANC ปรับตัวลง 0.52% หรือ ลดลง 1.00 บาท มาที่ 190.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 437.24 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.40 น. จากราคาเปิด 192.00 บาท ราคาสูงสุด 192.00 บาท ราคาต่ำสุด 190.00 บาท

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ประกาศกำไรต่ำกว่าคาด โดยไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 6 พันล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการของเราและตลาด 7% สาเหตุสำคัญคือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน และการดำเนินธุรกิจหลัก แต่หากไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน กำไรจากธุรกิจหลักจะอยู่ที่ 6.2 พันล้านบาท (-7% yoy, -6% qoq)

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานจากธุรกิจหลักที่ต่ำเกินคาด มาจากรายได้ที่ลดลงของบริการโทรมือถือถูกฉุดโดย ARPU ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และยอดผู้ใช้บริการ prepaid ลดลงผิดคาดในไตรมาสนี้ โดยรายได้จากบริการมือถือในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ต่ำเกินคาดเพราะถูกกดดันจาก ARPU ทำให้กำไรสุทธิในงวด 9 เดือน คิดเป็น 71% ของประมาณการกำไรเต็มปีของเรา ดังนั้น เราจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 65-66 ลง 3.8% เหลือ 2.59 หมื่นล้านบาทในปี 65 และ 2.7 หมื่นล้านบาทในปี 66

อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 4/65 จะฟื้นตัวขึ้น qoq เนื่องจากเหตุผลสองข้อด้วยกัน ข้อแรกคือเราคาดว่าจำนวนผู้ใช้บริการ prepaid ในไตรมาสนี้จะไม่ลดลงอีกเหมือนในไตรมาสก่อน พราะสาเหตุสำคัญที่ทำให้ยอดผู้ใช้บริการ prepaid ลดลงในไตรมาส 3/65 (-138,000 รายจากไตรมาส 2/65) คือกำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำถึงปานกลางและอัตรา churn rate เพิ่มขึ้นจากยอดขายซิมนักท่องเที่ยวที่สูงในไตรมาส 2/65 เรามองว่ากำลังซื้อที่ลดลงในไตรมาส 3/65 อาจจะเป็นผลพวงของสถานการณ์เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในประเทศไทย แต่เนื่องจากสถานการณ์เงินเฟ้อ กำลังคลายตัวลง ดังนั้น กำลังซื้อในไตรมาส 4/65 จึงน่าจะดีกว่าในไตรมาส 3/65 ส่วน churn rate ที่เพิ่มขึ้นน่าจะเป็นเพราะเป็นช่วงเหลื่อมจังหวะระหว่างที่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มเดิมจำนวนมากเลิกใช้บริการไป และนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่เดินทางเข้ามาใช้บริการ ส่วนเหตุผลข้อที่สอง คือ แรงกดดันทางด้านต้นทุนพลังงานน่าจะลดลง qoq ในไตรมาส 4/65

บล.กรุศรี ยังคงคำแนะ "ซื้อ" ADVANC แม้ว่าผลประกอบการจะแผ่วลงในไตรมาส 3/65 ทั้งนี้ เนื่องจากเราปรับลดประมาณการกำไรของปี 65-66 เท่านั้น และราคาเป้าหมายอิงจากปลายปี 66 ดังนั้น จึงยังคงราคาเป้าหมายเอาไว้เท่าเดิมที่ 238 บาท โดยคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 3/65 จะเป็นจุดต่ำสุดของวัฏจักรขาลงรอบนี้

ขณะที่ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ADVANC ประกาศกำไรไตรมาส 3/65 หดตัว 5.4.% YoY จากต้นทุนโครงข่ายและค่าใช้จ่ายการตลาดที่เพิ่มขึ้นมาก

แม้รายได้ค่าบริการไม่รวม IC จะเพิ่มขึ้น 1% YoY แต่เกิดจากรายได้ธุรกิจอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงที่เพิ่มขึ้น 21% YoY ตามจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นมาก ชดเชยรายได้เฉลี่ยต่อราย (ARPU) ที่ลดลง YoY ส่วนรายได้บริการลูกค้าองค์กรและอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น 21% YoY จากดีมานด์ลูกค้าองค์กรที่เพิ่มขึ้นในด้านบริการคลาวด์ และ ICT solution ชดเชยรายได้บริการมือถือที่ลดลง 0.5% YoY เป็นผลจากรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายลดลงถึง 5.2.% YoY จากผลกระทบอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และการแข่งขันด้านราคาอย่างต่อเนื่อง แต่ชดเชยได้เกือบทั้งหมดจากจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น 4.6% YoY มาอยู่ที่ 45.6 ล้านเลขหมาย ขณะต้นทุนบริการเพิ่มขึ้น 2% YoY ในอัตราที่มากกว่ารายได้ จากผลของการเร่งขยายโครงข่าย

อีกทั้งค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้นถึง 7.5%YoY หลักๆ มาจากค่าใช้จ่ายการตลาดที่เพิ่มขึ้น 27%YoY แม้จะชดเชยได้บางส่วนจากกำไรจากการขายมือถือที่สูงถึง 107 ล้านบาท จากผลบวก iPhone 14 ที่เริ่มเปิดจองปีนี้ตั้งแต่ 9 ก.ย. และขายอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 16 ก.ย. เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 32 ล้านบาท เนื่องจาก iPhone 13 เริ่มขายในเดือนต.ค.64 ส่งผลให้กำไรปกติไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 6,217 ล้านบาท ลดลง 7.4% YoY

อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 3/65 มีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนหลังภาษี 185 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 3 ปีก่อนที่มีรายจ่ายพิเศษหลังภาษี 342 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 6,032 ล้านบาท ลดลง 5.4% YoY

ทั้งนี้ คงเป้ารายได้บริการปีนี้เติบโต 1-2% EBITDA คงที่ถึงลดลงเล็กน้อย โดยบริษัทมองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังยังคงเปราะบางจากผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อ และภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย จากการปรับขึ้นราคาพลังงานทั่วโลกเป็นผลสืบเนื่องจากสงครามรัสเซียรบกับยูเครน แต่ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่เป็นเลิศแก่ลูกค้า ทำให้บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้บริการหลักในปีนี้เติบโตได้ 1-2% แต่ยังได้รับผลกระทบจากต้นทุนค่าสาธารณูปโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายในการขยายฐานธุรกิจภายใต้สภาวะการแข่งขันที่รุนแรง รวมถึงค่าใช้จ่ายการตลาดที่สูงขึ้นภายใต้สภาวะการแข่งขันที่รุนแรง และการออกแคมเปญเพื่อขยายและรักษาฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง

บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ปรับลดประมาณการกำไรของ ADVANC ปีนี้และปีหน้าเฉลี่ยราวปีละ 5.5% ให้สอดคล้องกำไร 9 เดือนต่ำกว่ำคาด แม้เชื่อว่ากำไรไตรมาส 4/65 จะฟื้นตัวจากไตรมาส 3/65 ค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลที่คนใช้บริการมากกว่าปกติ ทั้งจากเทศกาลต่าง ๆ และมีช่วงวันหยุดยาวที่คนไทยนิยมท่องเที่ยวปลายปี บวกกับนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับมาคึกคักตั้งแต่ ต.ค.65 แล้ว

อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิ 9 เดือน ลดลง 7% YoY คิดเป็น 69% ของประมาณการการกำไรทั้งปี 65 จากผลกระทบรายได้เติบโตต่ำมาก อีกทั้งต้นทุนโครงข่ายและค่าใช้จ่ายการตลาดที่สูงเกินคาด ส่งผลให้ต้องปรับลดประมาณการกำไรปีนี้ลงจากเดิมราว 5.9% มาอยู่ที่ 25,377 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้า 5.7% และคาดกำไรจะฟื้นตัวราว 8.7% ในปีหน้าตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยว

บวกกับราคาหุ้นยังมี upside 22.7% จากมูลค่าพื้นฐานปี 66 อิงวิธี DCF ซึ่งอยู่ที่ 235 บาท อีกทั้งยังมี upside เพิ่มเติมจากหากดีล 3BB และ JASIF มีการปรับขอเพิ่มข้อเสนอและจูงใจผู้ถือหุ้น JASIF ได้สำเร็จ ยืนยัน "ซื้อ" และยังเลือกเป็น Top Pick กลุ่ม
#3149
เฟรนช์ฟรายส์ ครัวบ้านยาย บ้านนา ชุมพร Tel/Line 086-7348650
#3150
ทัวร์ตุรกีไพรเวท เราเป็นบริษัทนำเที่ยว พาท่านไปท่องเที่ยวทั่วโลก ราคาประหยัด ปี2565 -2566 ทัวร์ตุรกีไพรเวท ทัวร์คุ้มค้าเงินที่ท่านจ่ายไป เดืนทางไม่เป็นอันตราย มีไกด์ดูแลตลอดเส้นทาน ทัวร์ตุรกีไพรเวท เรามีของกินและก็อาหารว่างตลอดการเดินทาง ทัวร์ตุรกีไพรเวท พวกเราจัดกรุ๊ปเหมา เที่ยวแบบส่วนตัว รับทำ วีซ่า ทุกประเทศ
https://bit.ly/3zNpxEc